27 ธันวาคม 2563

เรื่องของดวงดาวกับมนุษย์ในพระไตรปิฎก

 เรื่องของดวงดาวกับมนุษย์ในพระไตรปิฎก

ดาวนักษัตรทั้ง 12 ราศี เมื่อพระอาทิตย์กำลังโคจรอยู่ในกลุ่มดาวใด
เราก็จะเรียกชื่อเดือนตามกลุ่มดาวนั้น ในภาพพระอาทิตย์กำลังโคจรอยู่ในกลุ่มดาวสิงโต
เดือนในภาพคือเดือนสิงหาคม
ภาพต้นฉบับ (credit: www.thesouthafrican.com)


หน้าแรกโหราศาสตร์ประวัติศาสตร์: HistAstro.blogspot.com

วันนี้ผู้เขียนทำงานประจำมาตลอดทั้งวันจนดึก ขณะนี้ก็เลยเที่ยงคืนมาเกือบครึ่งแล้ว แต่เมื่อมาดูยอดวิวในโพสต์ปรากฏว่าวันนี้ยังมีผู้ติดตามมาอ่านโพสต์ทั้งๆ ที่ผู้เขียนก็ไม่ได้เขียนอะไรมาสองวันแล้ว จึงเกิดแรงบันดาลใจที่จะเขียนโพสต์นี้ออกมาให้ท่านได้อ่านกันก่อนที่จะพักผ่อน

วันนี้เลยขอนำข้อมูลจากพระไตรปิฎกที่เป็นหลักฐานอ้างอิงว่าดวงดาวกับมนุษย์นั้นเกี่ยวข้องกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้พระพุทธองค์จะทรงสอนให้เชื่อกฎแห่งกรรมและไม่มีพระประสงค์ให้ชาวพุทธเชื่ออิทธิพลของดวงดาวอย่างงมงาย แต่วิชาโหราศาสตร์ก็พิสูจน์ตนเองมาเป็นเวลายาวนานว่าสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับอนาคตของคนได้ไม่มากก็น้อย แม้แต่ในสมัยที่พระพุทธองค์ยังทรงพระเยาว์เป็นเจ้าชายน้อยก็ยังมีโหราจารย์ในสมัยนั้นพยากรณ์ว่าพระองค์จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต บ่งบอกว่าวิถีชนชาวเอเชียหลีกหนีไม่พ้นจากโหราศาสตร์ตั้งแต่เกิดจนสิ้นลมหายใจ

โพสต์นี้ขออนุญาตนำพระสูตรชื่อ อธัมมิกสูตร ซึ่งว่าด้วยพระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรมและผู้ตั้งอยู่ในธรรม มานำเสนอเป็นตอนพิเศษ (เผื่อว่าพรุ่งนี้ผู้เขียนไม่ได้เขียนอีก ท่านก็จะได้อ่านตอนนี้ไปพลางๆ ก่อน)

ในพระสูตรนี้จะบอกชัดเจนว่าดวงดาวสัมพันธ์กับคน คนสัมพันธ์กับดวงดาว ดวงดาวบ่งบอกพฤติกรรมของคน การกระทำของคนสะท้อนให้เห็นได้จากการโคจรของดวงดาว คำว่าหมู่ดาวนักษัตรในพระสูตรนี้ก็คือหมู่ดาวประจำราศีทั้ง 12 ราศีนั่นเอง ได้แก่ ดาวแกะ ราศีเมษ ดาววัว ราษีพฤษภ ดาวคนคู่ ราศีมิถุน เป็นต้น นี่เป็นกลุ่มดาวแบบตำราฝรั่ง แต่ตามตำราดาวของโหรไทยจะแบ่งกลุ่มดาวนักษัตรเป็น 27 กลุ่ม ซึ่งก็คือกลุ่มดาวเดียวกันกับดาว 12 ราศี เพียงแต่มีวิธีมองกันคนละมุม ทำให้เห็นดาวเป็นรูปร่างที่ต่างกัน มีชื่อเรียกต่างกัน

เมื่อท่านอ่านพระสูตรนี้จบก็จะทราบได้ทันทีว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงให้เห็นว่ามนุษย์กับดวงดาวและธรรมชาติต่างก็สัมพันธ์กันเมื่อคนบนโลกมีศีลธรรม ดวงดาวก็โคจรปกติ ฤดูกาลก็เป็นปกติ เมื่อคนบนโลกขาดศีลธรรม ดวงดาวก็โคจรผิดปกติ ฤดูกาลก็แปรปรวนและสุดท้ายก็ส่งผลเสียต่อมนุษย์บนโลกนี้เอง

ที่มา: พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑  พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต

[๗๐] ภิกษุทั้งหลาย ในเวลาที่พระราชาไม่ตั้งอยู่ในธรรม๑- แม้พวกข้าราชการ

ก็ไม่ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อพวกข้าราชการไม่ตั้งอยู่ในธรรม แม้พราหมณ์และคหบดี

ก็ไม่ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อพราหมณ์และคหบดีไม่ตั้งอยู่ในธรรม แม้ชาวนิคมและชาว

ชนบทก็ไม่ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อชาวนิคมและชาวชนบทไม่ตั้งอยู่ในธรรม ดวงจันทร์

และดวงอาทิตย์ก็โคจร(หมุน)ไปไม่สม่ำเสมอ เมื่อดวงจันทร์และดวงอาทิตย์โคจรไป

ไม่สม่ำเสมอ มู่ดาวนักษัตรก็โคจรไปไม่สม่ำเสมอ เมื่อหมู่ดาวนักษัตรโคจรไปไม่

สม่ำเสมอ คืนและวันก็หมุนเวียนไปไม่สม่ำเสมอ เมื่อคืนและวันหมุนเวียนไปไม่

สม่ำเสมอ เดือนหนึ่งและครึ่งเดือนก็หมุนเวียนไปไม่สม่ำเสมอ เมื่อเดือนหนึ่งและ

ครึ่งเดือนหมุนเวียนไปไม่สม่ำเสมอ ฤดูและปีก็หมุนเวียนไปไม่สม่ำเสมอ เมื่อฤดู

และปีหมุนเวียนไปไม่สม่ำเสมอ ลมก็พัดไปไม่สม่ำเสมอ พัดไปผิดทางไม่สม่ำเสมอ

เมื่อลมพัดไปไม่สม่ำเสมอ พัดไปผิดทางไม่สม่ำเสมอ พวกเทวดาก็ขัดเคืองใจ

เมื่อพวกเทวดาขัดเคืองใจ ฝนก็ไม่ตกต้องตามฤดูกาล เมื่อฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล

ข้าวกล้าทั้งหลายก็ออกรวงสุกไม่พร้อมกัน

             ภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลายบริโภคข้าวกล้าที่สุกไม่พร้อมกันย่อมมีอายุน้อย ๑ 

มีผิวพรรณไม่ดี ๑ มีกำลังไม่ดี ๑ มีความเจ็บป่วยมาก ๑


             ในเวลาที่พระราชาตั้งอยู่ในธรรม แม้พวกข้าราชการก็ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อพวก

ข้าราชการตั้งอยู่ในธรรม แม้พราหมณ์และคหบดีก็ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อพราหมณ์

และคหบดีตั้งอยู่ในธรรม แม้ชาวนิคมและชาวชนบทก็ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อชาวนิคม

และชาวชนบทตั้งอยู่ในธรรม ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ก็โคจรไปสม่ำเสมอ เมื่อ

ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์โคจรไปสม่ำเสมอ หมู่ดาวนักษัตรก็โคจรไปสม่ำเสมอ

เมื่อหมู่ดาวนักษัตรโคจรไปสม่ำเสมอ คืนและวันก็หมุนเวียนไปสม่ำเสมอ เมื่อคืน

และวันหมุนเวียนไปสม่ำเสมอ เดือนหนึ่งและครึ่งเดือนก็หมุนเวียนไปสม่ำเสมอ

เมื่อเดือนหนึ่งและครึ่งเดือนหมุนเวียนไปสม่ำเสมอ ฤดูและปีก็หมุนเวียนไปสม่ำเสมอ

เมื่อฤดูและปีหมุนเวียนไปสม่ำเสมอ ลมก็พัดไปสม่ำเสมอ พัดไปถูกทางสม่ำเสมอ

เมื่อลมพัดไปสม่ำเสมอ พัดไปถูกทางสม่ำเสมอ พวกเทวดาก็ไม่ขัดเคืองใจ เมื่อ

พวกเทวดาไม่ขัดเคืองใจ ฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล เมื่อฝนตกต้องตามฤดูกาล

ข้าวกล้าทั้งหลายก็ออกรวงสุกพร้อมกัน

             ภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลายบริโภคข้าวกล้าสุกพร้อมกันย่อมมีอายุยืน ๑

มีผิวพรรณผ่องใส ๑ มีกำลัง ๑ มีความเจ็บป่วยน้อย ๑


                          เมื่อฝูงโคข้ามน้ำไป

                          ถ้าโคจ่าฝูงไปคดเคี้ยว

                          โคทั้งฝูงก็ไปคดเคี้ยวตามกัน

                          ในเมื่อโคจ่าฝูงไปคดเคี้ยว

                          ในหมู่มนุษย์ก็เหมือนกัน

                          ผู้ใดได้รับแต่งตั้งให้เป็นใหญ่

                          ถ้าผู้นั้นประพฤติไม่เป็นธรรม

                          ประชาชนชาวเมืองนั้นก็จะประพฤติไม่เป็นธรรมตามไปด้วย

                          หากพระราชาไม่ตั้งอยู่ในธรรม

                          ชาวเมืองนั้นก็อยู่เป็นทุกข์

                          เมื่อฝูงโคข้ามน้ำไป

                          ถ้าโคจ่าฝูงไปตรง

                          โคทั้งฝูงก็ไปตรงตามกัน

                          ในเมื่อโคจ่าฝูงไปตรง

                          ในหมู่มนุษย์ก็เหมือนกัน

                          ผู้ใดได้รับแต่งตั้งให้เป็นใหญ่

                          ถ้าผู้นั้นประพฤติชอบธรรม

                          ประชาชนชาวเมืองนั้นก็จะประพฤติชอบธรรมตามไปด้วย

                          หากพระราชาตั้งอยู่ในธรรม

                          ชาวเมืองนั้นก็อยู่เป็นสุข


อธัมมิกสูตรที่ ๑๐ จบ


เชิงอรรถ :

@ ไม่ตั้งอยู่ในธรรม หมายถึงไม่เก็บพลี (ภาษี) ๑๐ ส่วนที่พระราชาในกาลก่อนตั้งไว้ และอาชญาอันสมควรแก่ความผิด เก็บพลีเกินและลงอาชญาเกินความผิด (องฺ.จตุกฺก.อ. ๒/๗๐/๓๕๗)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๑ หน้า : ๑๑๔}

หน้าแรกโหราศาสตร์ประวัติศาสตร์: HistAstro.blogspot.com

ฤทธิ์พยากรณ์@โหราศาสตร์ประวัติศาสตร์

27 ธันวาคม 2563 01.36


24 ธันวาคม 2563

ดวงชาตาเมืองไทยจะปลดล็อกและดีขึ้นเมื่อไหร่ (อัปเดตเหตุการณ์​ 2565)

 ดวงชาตาเมืองไทยจะปลดล็อกและดีขึ้นเมื่อไหร่

ดวงชาตาเมืองไทยและดาวจรในวันที่ 17 ตุลาคม 2566
เมื่อดาวมฤตยูและราหูย้ายออกจากดวงเมืองแล้ว


หน้าแรกโหราศาสตร์ประวัติศาสตร์: HistAstro.blogspot.com

สืบเนื่องจากโพสต์ก่อนๆ ที่ผู้เขียนได้พูดถึงช่วงที่ดวงเมืองเข้าขั้นวิกฤติหนักเพราะโดนดาวร้ายๆ ประกบหลายด้านทั้งหน้าหลังและทับดวงเมือง มาถึงตอนนี้ผู้เขียนจะได้นำเสนอช่วงเวลาคลี่คลายของดวงเมืองให้ท่านทราบ เพื่อการวางแผนอนาคตหรือการลงทุนก็ได้ จะได้รู้ว่าดวงเมืองจะดีขึ้นช่วงไหนและด้วยเหตุผลอะไรตามหลักโหราศาสตร์

ผมได้กล่าวไปในโพสต์ที่ผ่านมาว่าในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 จะมีดาวต่างๆ ได้แก่ ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ดาวศุกร์ ดาวพุธ พระอาทิตย์ พระจันทร์ โคจรมารวมกันอยู่ที่ราศีมังกรและดาวส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่ว่าจะมารวมตัววันเดียวแล้วก็แยกกัน แต่จะกระจุกตัวอยู่ตรงราศีมังกรนานบ้างไม่นานบ้างก็แล้วแต่วิถีการโคจรของดวงดาวแต่ละดวง อย่างเช่น พระจันทร์นั้นก็จะย้ายเข้ามาอยู่ที่ราศีมังกรตั้งแต่คืนวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 และย้ายออกจากราศีมังกรในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 ตามวิถีโคจรของพระจันทร์ที่จะโคจรอยู่ในแต่ละราศีประมาณ 2 วันครึ่ง ส่วนดาวอื่นๆ ก็ยังรวมตัวอยู่ที่ราศีมังกรอีกนานเป็นเดือนหรือหลายเดือน ซึ่งเรื่องนี้จะไม่พูดให้เยิ่นเย้อกว่านี้ในโพสต์นี้

หลังจากวันที่ 29 มีนาคม 2564 ดาวพฤหัสจะย้ายออกจากราศีมังกรเข้าสู่ราศีกุมภ์ของดวงเมือง ดาวพฤหัสจะเป็นอิสระจากพลังงานของดาวเสาร์มากขึ้น ทำให้มีโอกาสที่จะถ่ายเทพลังงานแห่งความสุขสมหวังมาสู่โลกมากขึ้น สถานการณ์บนโลกก็จะคลี่คลายลงในช่วงสั้นๆ จนถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2564

ตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2564 สถานการณ์ต่างๆ อาจจะยังทรงตัวอยู่ แต่ดาวพฤหัสจะเริ่มเข้าสู่สภาวะที่ทางโหราศาสตร์เรียกว่า มณฑ์ คือเริ่มโคจรช้าหรือหยุดนิ่ง ซึ่งในความเป็นจริงบนท้องฟ้าดาวไม่ได้หยุดนิ่งแต่เนื่องจากวิถีโคจรที่เป็นวงรีและการทำมุมกับโลกทำให้โหราจารย์สมัยก่อนมองเห็นว่าดวงดาวไม่เคลื่อนที่ จึงบัญญัติคำว่า มณฑ์ ขึ้นมา ส่วนดาวพุธจะเข้าสู่สภาวะที่เรียกว่า พักร คือเดินถอยหลังไปก่อนหน้านั้นแล้ว และตามความเป็นจริงบนท้องฟ้า ดาวก็ไม่ได้เดินถอยหลัง แต่มุมการโคจรที่ปรากฏบนโลก ทำให้คนบนโลกมองเห็นว่าดาวพุธกำลังเดินถอยหลังไปจากเดิม ดังนั้นการเจรจาสื่อสาร การตกลงทางธุรกิจ การเมือง ช่วงที่ดาวพุธถอยหลังก็จะไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร

วันที่ 22 มิถุนายน 2564 ดาวพฤหัสจะเริ่มพักร หรือถอยหลัง เป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายต่างๆ ที่จะตามมาหลังจากนั้น ดาวพฤหัสหมายถึงอะไรบ้าง (ตามที่เขียนไว้แล้วในโพสต์ก่อนหน้านี้) สิ่งเหล่านั้นก็จะเริ่มให้ผลด้านลบมากขึ้นเรื่อยๆ

ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2564 ดาวพฤหัสจะถอยหลังย้ายกลับเข้าสู่ราศีมังกรที่เป็นบ้านของพระเสาร์คู่ศัตรู ราศีซึ่งเป็นสถานที่ๆ ดาวพฤหัสอ่อนกำลังที่สุดที่ตามภาษาโหรเรียกว่า นิจ เรื่องหนักๆ ก็จะกลับมาหาดวงเมืองอีกรอบ และอาจเป็นการระบาดรอบใหม่รอบที่สามของโรคภัยไข้เจ็บที่กำลังเป็นอยู่ก็ได้

ดาวพฤหัสจะย้ายออกจากราศีมังกรและนำความโล่งอกมาสู่คนบนโลกบ้างอีกครั้งในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป

วันที่ 30 มีนาคม 2565 พระราหูโคจรเข้าราศีเมษทับดวงเมือง ตั้งแต่เดือนนี้ไปความวุ่นวายไม่น้อยจะเริ่มเกิดขึ้นกับเมืองไทย ที่น่าเป็นห่วงมากคือปี 2565 คาดว่าพายุฤดูร้อนจะรุนแรงไม่น้อยกว่าปี 2564 (ส่วนปี 2564 พายุฤดูร้อนจะแรงกว่าปี 2563 และเริ่มมีผลเมื่อดาวอังคารย้ายไปรวมกับราหูในราศีพฤษภตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564) ปลายปี​ 64 ความโกลาหล​ทางธรรมชาติ​และอุบัติเหตุ ไฟไหม้​ พายุลมแรง​จะทวีความรุนแรง​ขึ้นอีกรอบจนถึงกลางเดือน​มกราคม​จึงค่อยบรรเทาลง

ความรุนแรงของสถานการณ์ต่างๆ จะเริ่มมากขึ้น และดวงเมืองประเทศไทยจะเข้าสู่ความอึมครึมอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2565 เมื่อดาวพฤหัสแห่งความสุขสมหวังเข้าสู่เรือนวินาศของลัคนาดวงเมือง ประกอบกับที่ดาวราหูจรมาทับดวงเมือง​ร่วมกับมฤตยู​ที่บ่อนทำลายดวงเมืองมานานแล้ว ความปั่นป่วนของสถานการณ์​ในประเทศทุก​ด้านจะทวีความรุนแรง​มากขึ้น การประชุม​ของดาวสองดวงนี้จะนำน้ำมหาศาลมาสู่​แผ่นดินโลกและไทยเราที่ท่านเองได้เห็นมาแล้วในปี 2564​ ในปี 2565 จะเป็น​อีกปีที่มวลน้ำมหาศาลจะมาถล่มแผ่นดิน หลังจากที่ดาวพฤหัส​เข้าราศีมีน วงการผ้าเหลืองจะมีเรื่องอื้อฉาวสุดๆ ในรอบทศวรรษหรือศตวรรษ​ ทิดสึก​ใหม่มากขึ้น พระผู้ใหญ่รวมถึงผู้หลักผู้ใหญ่​ของประเทศพากันลาเวทีชีวิตมากอย่างที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อน วงการศาลมีเรื่องอื้อฉาว​ การทุจริต​ขนาดใหญ่ทุกวงการจะปรากฏ​ วงการ​ศึกษา​ครูบาอาจารย์​ก็ไม่พ้นข่าวอื้อฉาว ปัญหา​เศรษฐกิจ​ การเมือง​ สังคมปั่นป่วนสุดๆ ในทศวรรษ​หรือศตวรรษประวัติ​ศาสตร์​ไทย การจะเริ่มกิจการ​ใหญ่โต​ปี 2565 ต้องคิดไตร่ตรอง​อย่างหนักหากท่านไม่แข็งพอ

กลางปี 65 ดาวมฤตยู​ย้ายออกจากดวงเมือง บรรเทาความร้ายแรง​ลงบ้าง แต่ก็จะย้ายถอยหลังกลับไปรวมกับราหู​อีกรอบในต้นเดือนธันวาคม 2565

วันที่ 8 มีนาคม 2566 จากการที่ดาวมฤตยูย้ายออกจากราศีเมษอีกรอบ ทำให้ดวงเมืองไทยโล่งขึ้นอีกระดับ คนราศีเมษก็พลอยโล่งอกมากขึ้นเช่นกัน

ฟังแต่เรื่องร้ายๆ มามากขอกลับมาบอกข่าวดีให้หายกังวลใจว่า ในวันที่ 19 เมษายน 2566 ดาวพฤหัสที่นำความสุขสมหวังมาสู่โลกจะโคจรเข้าทับลัคนาดวงเมือง นำข่าวดีและความสำเร็จในกิจการทั้งหลายมาสู่เมืองไทยและโลกอีกครั้ง ทั้งนี้เพราะดาวโลกนี้ทางโหรว่ากันว่ามีลัคนาอยู่ที่ราศีเมษเช่นเดียวกับเมืองไทย (อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณา​ทางทักษาของดวงเมืองที่ไม่ค่อยดีนักหลังจาก 21 เมษายน​ 2566 สถานการณ์​จะเริ่มอึมครึม​ขึ้นเรื่อยๆ อีกครั้งหลังจากที่ข่าวดีมาถึงก่อน)​ สำหรับสถานการณ์​โลก เมื่อดาวแห่งความสุขกลับมาถึงราศีเมษ คนทั้งหลายบนโลกก็จะอยู่เย็นเป็นสุขตามปกติมากขึ้นและคาดว่าถึงตอนนั้นโรคระบาดคงจะคลี่คลายไปแล้ว โดยเริ่มดีขึ้นตั้งแต่ที่ดาวพฤหัสพ้นจากดาวเสาร์ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2564 และไม่ถอยกลับไปหาดาวเสาร์อีก คนราศีเมษเองก็จะกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้งตั้งแต่ 19 ​เมษายน​ 2566 (หากพื้นดวงของท่านดีมาก่อนแล้ว)

วันที่ 17 ตุลาคม 2566 พระราหูย้ายออกจากดวงเมือง ทำให้ดวงเมืองไทยโล่งขึ้นอีกระดับ

สถานการณ์ดวงเมือง​ที่จะปลอดโปร่ง​มากขึ้น​คือหลัง 21 เมษายน​ 2567 ไปแล้ว แต่ตอนนั้น​ดวงเมืองจะเข้าสู่​ยุคใหม่ที่สิ่งผิดกฎหมาย​จะกลายเป็น​ถูก​กฎหมาย​ บางทีกฎหมาย​คาสิโน​และค้าเนื้อหนังที่ผิดกฎหมาย​มาก่อนอาจจะ​กลายเป็น​สิ่งที่ยอมรับกันก็ได้ การติดต่อ​ต่างประเทศ​และการบินจะเริ่มกลับมาบูมอีกครั้ง

ขอให้ทุกท่านอดทนและรอคอยโอกาสและข่าวดีที่จะมาถึงท่านอีกครั้ง

หน้าแรกโหราศาสตร์ประวัติศาสตร์: HistAstro.blogspot.com

ฤทธิ์พยากรณ์@โหราศาสตร์ประวัติศาสตร์

24 ธันวาคม 2563

23 ธันวาคม 2563

พระบรมราชชาตาสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย"

 พระบรมราชชาตาสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย"


King Mongkut, RamaIV of Siam;
Image Credit: Wikimedia Commons.


พระบรมราชชาตา รัชกาลที่ 4 ระบบราศีจักร
พระบรมราชชาตา รัชกาลที่ 4 ระบบสิบลัคนา

หน้าแรกโหราศาสตร์ประวัติศาสตร์: HistAstro.blogspot.com

สวัสดีคุณผู้อ่านทุกท่านครับ วันนี้ผู้เขียนขอนำเสนอพระบรมราชชาตาสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 พระองค์ทรงได้รับถวายการประกาศยกย่องจากรัฐบาลไทยสมัยหนึ่งว่าพระองค์ทรงเป็น "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" และนอกจากความเชี่ยวชาญด้านนี้ พระองค์ยังทรงเป็นนักโหราศาสตร์ชั้นยอด นักดาราศาสตร์ชั้นเยี่ยมยอด นักสถิติ นักวิจัย นักภาษาศาสตร์ นักโบราณคดี นักปกครอง ฯลฯ เรียกว่า พระองค์ทรงเป็นนักวิชาการชั้นยอดเลยก็ว่าได้ และไม่ผิดจากดวงพระชาตาทั้งในระบบราศีจักรและสิบลัคนา มีเรื่องเล่าว่า พระองค์ทรงมีห้องวิจัยส่วนพระองค์ที่มีเครื่องมือวิทยาศาสตร์มากมายไม่ว่าจะเป็นกล้องดูดาว ปรอทวัดอุณหภูมิ เครื่องวัดความดัน เครื่องมือวัดต่างๆ ฯลฯ ผู้เขียนเคยอ่านพบในบันทึกประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งว่า พระราชวงศ์บางพระองค์ได้กล่าวไว้ว่า พระองค์ทรงบรรทมหลับได้อย่างไร ในเมื่อสมองของพระองค์มีแต่ภาษาบาลี สันสกฤต ภาษาอังกฤษ และโหราศาสตร์ ไว้ผู้เขียนอ่านพบบันทึกนี้อีกครั้ง จะนำมาแทรกอัปเดตในโพสต์นี้อีกครั้งทีหลัง

สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4
(ภาพจาก Credit: Wikimedia Commons)

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชสมภพเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ปีชวด ฉศก จ.ศ. 1166 ซึ่งตรงกับวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 (ตามระบบสากลคือวันที่ 19 ตุลาคม เนื่องจากพระองค์ประสูติเวลา 4.00 น.) ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 43 ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2

ในด้านโหราศาสตร์ พระองค์ทรงศึกษาวิชาโหราศาสตร์ไทยอย่างเชี่ยวชาญไม่น้อยกว่าโหรหลวงในสมัยนั้น พระองค์ทรงให้โหรหลวงผูกดวงพระชาตาของพระโอรสและพระธิดาทุกพระองค์ โอรสบางพระองค์มีดวงพระชาตาที่ไม่ดีเลย ดาวในดวงพระชาตาพระโอรสพระองค์หนึ่งถึงกับไม่มีดาวที่เห็นว่าจะเอาดีสักด้านได้ พระองค์ถึงกับทรงฝากโหรในสมัยนั้นให้ติดตามดูพระโอรสพระองค์นี้ว่าจะมีอนาคตเป็นอย่างไร พระโอรสพระองค์ที่ว่านี้คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ผู้เขียนจะนำเรื่องนี้มาเล่าอีกครั้งในตอนหลังๆ

พระองค์ทรงเป็นนักดาราศาสตร์ที่เชี่ยวชาญ ทรงคำนวณวันเวลาที่จะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงหรือสุริยคราส (ภาษาถิ่นว่า กบกินตะวัน) ได้ล่วงหน้าอย่างแม่นยำ ทั้งในเวลาที่พระจันทร์เริ่มบังพระอาทิตย์และในเวลาที่พระจันทร์เคลื่อนออกจากพระอาทิตย์ ผลการคำนวณของพระองค์ท่านแม่นยำยิ่งกว่านักดาราศาสตร์ชาวตะวันตกที่มาร่วมชมปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงร่วมกัน ในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 ณ หมู่บ้านหว้ากอ ตำบลคลองวาฬ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พระองค์ทรงประทับที่หว้ากอเป็นเวลา 9 วัน จึงเสด็จกลับกรุงเทพฯ โดยหลังเสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ พระองค์เริ่มทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคตในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 เวลา 21.05 น. (63 พรรษา 11 เดือน 13 วัน)

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงมีพระมเหสีเจ้า 3 พระองค์ และพระสนม 56 คน รวมพระชายาทั้งสิ้น 59 พระองค์/คน

พระองค์ทรงมีพระราชโอรส 39 พระองค์ พระราชธิดา 43 พระองค์ และมีพระราชบุตรที่ตกอีก 2 พระองค์ รวม 84 พระองค์ (อ้างอิงจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี) ปล. ในดวงพระบรมราชชาตาแบบสิบลัคนาจะบอกว่าพระองค์ทรงมีพระราชบุตรที่มีชื่อเสียงมาก

หน้าแรกโหราศาสตร์ประวัติศาสตร์: HistAstro.blogspot.com

ฤทธิ์พยากรณ์@โหราศาสตร์ประวัติศาสตร์

23 ธันวาคม 2563


22 ธันวาคม 2563

ดวงเมืองไทยกับวันเวลาที่น่าเป็นห่วงเมื่อดาวโคจรมารวมกันในปี 2564

ดวงเมืองไทย - วันเวลาที่น่าเป็นห่วงเมื่อดาวโคจรมารวมกันในปี 2564

นอกวงกลมดวงชาตาเมืองไทยจะเห็นว่าดาวต่างๆ โคจรมากระจุกตัวกันที่ราศีมังกรหลายดวง

หน้าแรกโหราศาสตร์ประวัติศาสตร์: HistAstro.blogspot.com
หลังจากที่ท่านได้อ่านโพสต์ก่อนหน้านี้แล้ว ท่านผู้อ่านคงจะเข้าใจความหมายของดาวต่างๆ ไปบ้างแล้วนะครับ หากท่านยังจำไม่ได้ ท่านสามารถย้อนกลับไปเปิดดูโพสต์เก่าๆ ได้จากเมนูหน้าแรก ที่เป็นแถบสีแดงเลือดหมูด้านล่างโพสต์นี้ (สำหรับท่านที่อ่านจากมือถือ) จะมีโพสต์เก่าๆ ที่ผู้เขียนได้เขียนมาแล้วหลายตอน และผู้เขียนวางแผนว่าจะเขียนออกมาอย่างต่อเนื่องเท่าที่เวลาจะอำนวย เพื่อแบ่งปันความรู้ด้านโหราศาสตร์ที่ทุ่มเทศึกษามาหลายปีให้เกิดประโยชน์กับเพื่อนๆ คนรู้จักและสังคมบ้าง และฟื้นฟูพัฒนาความรู้ของตัวเองด้วยเช่นกันครับ

พาออกนอกเรื่องไปนาน ขอกลับมาพูดถึงวันเวลาที่น่าเป็นห่วงที่สถานการณ์ต่างๆ จะรุนแรงสุดในรอบนี้ คือช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งจะมีดาวต่างๆ โคจรมารวมกันในราศีเดียวกันคือที่ราศีมังกร ในวันที่ 10-11 กุมภาพันธ์ 2563 การรวมตัวของดาวหลายดวงจะมีการเสริมกำลังหรือเสริมแรง และหักล้างพลังงานหรือแรงดึงดูดที่ดาวแต่ละดวงแผ่พลังงานออกมา ทำให้มีผลที่รุนแรงตามหลักวิชาโหราศาสตร์

ดาวที่โคจรมารวมกันนี้คือดาวที่จะปรากฏบนท้องฟ้าจริงๆ ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 ดาวต่างๆ จะโคจรมารวมกันในราศีมังกร ในวันนั้นดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ดาวศุกร์ ดาวพุธ พระอาทิตย์ พระจันทร์ จะโคจรมารวมกันอยู่ที่ราศีมังกร แต่ท่านไม่สามารถมองเห็นดาวต่างๆ ดังกล่าวนี้ได้ในช่วงนั้น เพราะดาวเหล่านั้นจะโคจรไปพร้อมกับพระอาทิตย์และถูกแสงพระอาทิตย์กลบหมด แต่นั่นหมายถึงพลังของดาวรวมตัวเข้ากับพลังของพระอาทิตย์และพระจันทร์ พลังงานที่แผ่ออกมาสู่โลกก็จะมีกำลังแรงมากขึ้น กระทบกับแรงดึงดูดและระบบป้องกันของชั้นบรรยากาศโลกและสนามแม่เหล็กโลกไม่มากก็น้อย ในตอนต่อๆ ไปจะนำเรื่องพลังดึงดูดของดวงดาวมาเล่าให้ท่านฟัง ผู้เขียนมีหลักฐานว่าพลังงานแรงดึงดูดของดวงดาวมีผลให้ดาวเล็กๆ ถึงกับบิดเบี้ยวได้ แน่นอนว่าพลังงานของดาวทั้งหลาย อย่างเช่น พระอาทิตย์ พระจันทร์ ก็มีผลต่อการขึ้นลงของน้ำทะเลอย่างชัดเจน แน่นอนว่าดาวใหญ่อย่างดาวพฤหัสหรือดาวเสาร์ก็ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนเช่นกัน ทางวิทยาศาสตร์เองก็มีการศึกวิจัยในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เช่น การเกิดแผ่นดินไหวอาจสัมพันธ์กับดาวบางดวง เพียงแต่การวิจัยของนักวิทยาศาสตร์มักจะจับที่ตัวแปรเดี่ยวๆ โดยลืมตัวแปรทั้งหลายที่ต่างก็มีปัจจัยร่วมกันทั้งหมด

ส่วนเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นจะเป็นอะไรก็ยากที่จะพยากรณ์ แต่ก็สามารถใช้ความหมายของดาวที่อธิบายในโพสต์ก่อนๆ มาตีความได้ แต่บอกได้เลยว่าในวันนั้นพลังงานของดาวทั้งหมดทุกดวงที่โคจรบนท้องฟ้าทำมุมสัมพันธ์ถึงกันทั้งหมด รวมถึงมีอิทธิพลกับดวงเมืองกรุงเทพฯ โดยตรง ผู้เขียนบอกได้แต่ว่าจะทำให้เกิดความหวาดหวั่นน่าวิตกอย่างมากแก่คนบนโลก มากน้อยต่างกันตามดวงเมืองของแต่ละภูมิภาคบนโลก สำหรับเมืองไทยเรา ผู้เขียนคาดว่าสถานการณ์หนักๆ ที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้น่าจะพัฒนาถึงขีดสุดในช่วงวันเวลาดังกล่าวนี้ และจะเริ่มคลี่คลายในเดือนเมษายน เมื่อดาวพฤหัสย้ายออกไปจากราศีมังกร แต่อย่างที่เล่าไว้ในตอนก่อนๆ ครับว่า ดาวพฤหัสจะถอยหลังกลับเข้าราศีมังกรอีกรอบช่วงปลายปีหน้า ตอนต่อๆ ไป ผู้เขียนจะมาพูดถึงระยะที่ประเทศไทยจะเริ่มหายใจได้คล่องขึ้น ซึ่งจะเป็นปีไหน โปรดติดตามกันในโพสต์ต่อๆ ไปนะครับ

หน้าแรกโหราศาสตร์ประวัติศาสตร์: HistAstro.blogspot.com

ฤทธิ์พยากรณ์@โหราศาสตร์ประวัติศาสตร์

22 ธันวาคม 2563

21 ธันวาคม 2563

การพบกันครั้งยิ่งใหญ่ของสองยักษ์ (The Great Conjunction: December 21, 2020)

การพบกันครั้งยิ่งใหญ่ของสองยักษ์ (The Great Conjunction: December 21, 2020)

ภาพดาวยักษ์สองดวงที่ใหญ่มาก เทียบกันแล้วโลกเรามีขนาดเล็กนิดเดียว
(โลกเราคือดาวดวงที่สี่นับจากดวงอาทิตย์)
ภาพต้นฉบับจากสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล (Credit: The International Astronomical Union/Martin Kornmesser, CC BY-SA 3.0/Wikimedia Commons)


หน้าแรกโหราศาสตร์ประวัติศาสตร์: HistAstro.blogspot.com

สวัสดีคุณผู้อ่านทุกท่านครับ วันนี้วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 เป็นวันที่มีปรากฏการณ์พิเศษทางดาราศาสตร์ที่สำคัญอีกวันหนึ่ง นั่นก็คือการโคจรมาพบกันของดาวยักษ์สองดวงในระบบสุริยจักรวาลของเรา คือ ดาวพฤหัสบดี (Jupiter) และดาวเสาร์ (Saturn) นักดาราศาสตร์ตะวันตกบัญญัติศัพท์ว่า The Great Conjunction of Jupiter and Saturn: December 21, 2020.

ภาพดาวพฤหัสและเสาร์ทับกันสนิทเป็นดวงเดียวในวันที่ 21 ธันวาคม 2563
ภาพต้นฉบับจากนาซ่า Credits: NASA/JPL-Caltech

การโคจรมาพบกันครั้งนี้ดาวพฤหัสและดาวเสาร์จะโคจรเข้าใกล้กันมากที่สุดในรอบ 397 ปี และมีระยะห่างกันเพียง 0.1 องศาเท่านั้น ถ้าจะเรียกตามภาษาโหราศาสตร์ก็เรียกว่า ทับกันสนิท ตามปกติแล้วดาวสองดวงนี้จะโคจรมาพบกันทุกๆ 20 ปี เป็นวัฏจักรที่เกิดขึ้นมานานแล้ว และจะเกิดขึ้นต่อไปไม่สิ้นสุด 

ภาพดาวพฤหัสเคียงดาวเสาร์บนท้องฟ้ามาหลายเดือนแล้ว ใครชอบมองท้องฟ้าคงได้เห็นกันแล้ว
ภาพต้นฉบับจากนาซ่า Credits: NASA/ Bill Ingalls

ครั้งก่อนที่ดาวสองดวงนี้โคจรเข้าใกล้กันมากคือต้นเดือนเมษายน 2543 ตามปฏิทินโหราศาสตร์ไทยเรียกว่าทับกันสนิทประมาณวันที่ 6 เมษายน 2543 แต่ในทางดาราศาสตร์ผู้เขียนพยายามหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตแล้วไม่พบเรื่องการเข้าใกล้กันของดาวสองดวงนี้โดยตรง มีเพียงข้อมูลว่าดาวสองดวงนี้และอีกหลายดวงเข้าใกล้กัน ได้แก่ ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ดาวอังคาร และพระจันทร์ที่โคจรเข้าใกล้กัน โดยเฉพาะในวันที่ 6 เมษายน 2543 ที่มีพระจันทร์เสี้ยวมาเคียงกันด้วยในราศีเมษ

ดวงดาวในราศีต่างๆ เทียบกับตำแหน่งบนท้องฟ้าในวันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563
ดาวพฤหัสและดาวเสาร์กำลังโคจรอยู่ในราศีมังกร 



ฤทธิ์พยากรณ์@โหราศาสตร์ประวัติศาสตร์

21 ธันวาคม 2563

ดวงเมืองไทยเป็นยังไงตอนนี้

 ดวงเมืองไทยเป็นยังไงตอนนี้

HistAstro.blogspot.com

ดวงเมืองกรุงเทพฯ และดาวจรบนท้องฟ้า วันที่ 21 ธันวาคม 2563

หน้าแรกโหราศาสตร์ประวัติศาสตร์: HistAstro.blogspot.com

บล็อกนี้ได้เขียนวัตถุประสงค์ไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าไม่ใช่เว็บพยากรณ์ดวงชาตา แต่เป็นการนำข้อเท็จจริงมาเชื่อมโยงดวงชาตา ดังนั้นผู้เขียนจึงไม่พยากรณ์ดวงเมืองกรุงเทพฯ (ซึ่งก็คือตัวแทนประเทศไทย) โดยตรง แต่จะแสดงข้อเท็จจริงเชิงโหราศาสตร์ให้เห็นว่า ดวงเมืองที่บรรดาโหรทั้งหลายเขาวางไว้มีหน้าตาเป็นอย่างไร และตอนนี้มีดาวดีดาวร้ายทำมุมสัมพันธ์กันยังไงกับดวงเมืองบ้าง เมื่อท่านอ่านเสร็จท่านก็พอจะบอกได้เองโดยที่ไม่ต้องฟังคำพยากรณ์ว่า ดวงชาตาเมืองสยามกำลังร้ายดีประการใด

ดาวในดวงชาตาเมืองกรุงเทพฯ มีตำแหน่งอะไรบ้างตามหลักวิชาโหราศาสตร์

ดาวอาทิตย์     1    ได้ตำแหน่ง มหาอุจจ์                 ในราศี เมษ (มหาอุจจ์ คือ กำลังสูงสุด)

ดาวจันทร์        2    ได้ตำแหน่ง เกษตร                    ในราศี กรกฎ (เกษตร คือ กำลังเต็มปกติ)

ดาวอังคาร       3    ได้ตำแหน่ง ราชาโชคและประ   ในราศี พฤษภ (ราชาโชค คือ มีกำลังดี และ ประ คือ กำลังอ่อน แต่ผมจะไม่อธิบายเหตุผลในโพสต์นี้เพราะจะยาวเยิ่นเย้อเกินหัวข้อโพสต์)

ดาวพุธ            4     ได้ตำแหน่ง ประและนิจ              ในราศี มีน (นิจ คือ กำลังอ่อนสุด)

ดาวพฤหัส       5    ได้ตำแหน่ง เกษตร                     ในราศี ธนู

ดาวศุกร์           6    ได้ตำแหน่ง มหาอุจจ์                  ในราศี มีน

ดาวเสาร์           7   ไม่มีตำแหน่งตามวิชาโหรฯ        ในราศี ธนู

ดาวราหู            8   ได้ตำแหน่ง นิจ                           ในราศี พฤษภ

ดาวเกตุ            9    ไม่มีตำแหน่งตามวิชาโหรฯ        ในราศี พฤษภ

ดาวมฤตยู         0    ไม่มีตำแหน่งตามวิชาโหรฯ        ในราศี มิถุน

ดาวในตำแหน่งเหล่านี้คือดาวที่กำลังโคจรอยู่บนท้องฟ้าในวันที่ 21 เมษายน 2325 ซึ่งเป็นวันที่ทำพิธีสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เมื่อ 238 ปีที่แล้ว 

อักษร สีแดง ตัวย่อของคำว่า ลัคนา อยู่ที่ราศีเมษ บ่งบอกว่า เวลาที่ทำการลงเสาหลักเมือง ซึ่งเทียบเท่ากับเวลาตกฟากหรือเวลาเกิดของคน ลัคนาของดวงเมืองอยู่ในราศีเมษ เท่ากับว่า เด็กชายสยามหรือเด็กชายกรุงเทพ เป็นคนราศีเมษ หรือเรียกตามภาษาโหรคือ เด็กชายกรุงเทพมีลัคนาเกาะราศีเมษ

แล้วดาวที่อยู่รอบนอกของวงกลมคืออะไร เลข 0 ถึง 9 ที่อยู่นอกวงกลมคือ ดาวจร หรือดาวที่กำลังโคจรบนท้องฟ้าในปัจจุบัน ในวันที่ 21 ธันวาคม 2563 ซึ่งวันนี้เป็นวันพิเศษวันหนึ่งของวงการดาราศาสตร์ที่เรียกกว่า The Great Conjunction December 21, 2020 คือเป็นวันที่มีการรวมตัวครั้งสำคัญของดาวพฤหัสและดาวเสาร์ที่โคจรมาใกล้กันมากที่สุดในรอบ 397 ปี ห่างกันเพียง 0.1 องศา ซึ่งเราจะพูดกันเรื่องนี้ในโพสต์ต่อๆ ไปครับ

กลับมาพูดถึงดาวจรบนท้องฟ้าในวันนี้ต่อครับ

ดาว 1    อยู่ในราศี ธนู  ความหมาย พระอาทิตย์สัมพันธ์ถึงดวงเมือง (ย้ายราศีทุกเดือน)

ดาว 2    อยู่ในราศี กุมภ์ ความหมาย พระจันทร์สัมพันธ์ถึงดวงเมือง (ย้ายราศีทุกๆ สองวันครึ่ง)

ดาว 3    อยู่ในราศี มีน ความหมาย ดาวอังคาร (แห่งความรุนแรง รวดเร็ว อุบัติเหตุ โจรภัย อันธพาล ไฟไหม้) กำลังมุ่งหน้าเข้าหาลัคนาของดวงเมือง ดาวอังคารจะเข้าสู่ราศีเมษ กำลังเข้าทับดวงเมือง ในวันที่ 27 ธันวาคา 2563

ดาว 4    อยู่ในราศี ธนู ความหมาย ดาวพุธ (แห่งการเจรจาตกลง การสื่อสาร การเมือง) มีตำแหน่งอ่อนแรง เป็นประตามหลักวิชาโหราศาสตร์

ดาว 5    อยู่ในราศี มังกร    ความหมาย ดาวพฤหัส (แห่งความสุขสมหวัง กว้างขวาง ขยายตัว เติบโต รุ่งเรือง การรักษาโรค (วัคซีน?) ศีลธรรม ครูบาอาจารย์ พระสงฆ์แม้ว่าจะสัมพันธ์ถึงลัคนาดวงเมืองแต่มีกำลังอ่อนแรง (ตำแหน่งเป็นนิจตามหลักวิชาโหราศาสตร์) ในราศีมังกร

ดาว 6    อยู่ในราศี พิจิก ความหมาย ดาวศุกร์ (การเงิน การคลัง วงการบรรเทิง ดนตรี) มีตำแหน่งอ่อนแรง เป็นประตามหลักวิชาโหราศาสตร์ แน่นอนว่า วงการบรรเทิงเริงรมย์ดนตรีการแสดงจะซบเซาในช่วงนี้

ดาว 7    อยู่ในราศี มังกร    ความหมาย ดาวเสาร์ (แห่งความทนทุกข์ วิตกกังวล กลัว รอคอย หดตัว เก็บตัว อดทน) สัมพันธ์ถึงดวงเมือง และมีกำลังเข้มแข็งเต็มที่ (เรียกว่า เกษตร ตามหลักวิชาโหราศาสตร์)

ดาว 8    อยู่ในราศี พฤษภ    เรียกว่า ดาวราหูบ่อนทำลาย กำลังเดินหน้ามุ่งเข้าหาลัคนาดวงเมือง  ดาวราหูจะจรเข้าทับลัคนาดวงเมืองในวันที่ 30 มีนาคม 2565

ดาว 9    อยู่ในราศี ธนู ความหมาย ดาวเกตุ (เกี่ยวกับการเสริมกำลังให้ดาวอื่นๆ)

ดาว 0    อยู่ในราศี เมษ    เรียกว่า ดาวมฤตยู (แห่งการทำลายล้าง ลางสังหรณ์ เสี่ยงโชค สิ่งลี้ลับ การเริ่มต้นใหม่แบบปฏิวัติวงการ) กำลังจรทับลัคนาดวงเมือง ดาวมฤตยูทับลัคนาดวงเมืองมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ 6 มีนาคม 2559 (คนราศีเมษจึงทำอะไรก็ได้ผลเพียงลุ่มๆ ดอนๆ มาหลายปี ไม่ได้ผลรุ่งโรจน์อย่างที่เคยเป็นมา) หรือพูดย่อๆ ว่า ดาวมฤตยูทับดวงเมือง จะพ้นจากดวงเมืองราศีเมษในวันที่ 7 กรกฎาคม 2565

ภาพถ่ายดาวเทียมประเทศไทย


สรุป
คือ ตอนนี้ดาวแห่งความสุขสมหวัง กำลังอ่อนแรงเต็มที ดาวแห่งความทุกข์ทนยากกำลังเข้มแข็งเต็มที่

แล้วเมื่อไหร่ดวงเมืองจะกลับมาดีขึ้น ดาวพฤหัสแห่งความสุขสมหวังจะพ้นจากราศีมังกรในวันที่ 29 มีนาคม 2564 (ปฏิทินโหราศาสตร์ไทย) และสัมพันธ์ดีกับลัคนาดวงเมือง....แต่....จะดีได้เพียงเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2564 แล้วจะถอยหลังกลับไปอ่อนแรงอีกครั้งตั้งแต่เดือนมิถุนยน 2564 และจะถอยกลับเข้าไปในราศีมังกรอ่อนกำลังอีกครั้งในวันที่ 28 กันยายน 2564 กว่าจะพ้นจากราศีมังกรอีกครั้งก็วันที่ 8 พฤศจิกายน 2564 ดาวแห่งความสุขสมหวังจึงจะเริ่มนำความสุขมาให้ชาวสยามได้บ้าง....

ในตอนต่อๆ ไปจะพูดถึงระยะเวลาที่น่าวิตกของดวงเมืองซึ่งจะเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 จะเป็นอย่างไรมาคอยติดตามกันต่อครับ

ขอให้ทุกท่านโชคดีและผ่านการทดสอบความอดทนของดาวพระเสาร์ครับ

หน้าแรกโหราศาสตร์ประวัติศาสตร์: HistAstro.blogspot.com

ฤทธิ์พยากรณ์@โหราศาสตร์ประวัติศาสตร์

21 ธันวาคม 2563


20 ธันวาคม 2563

ทำความรู้จักกับราศีในดวงชาตา

ทำความรู้จักกับราศีในดวงชาตา

ภาพแสดงราศีทั้ง 12 ราศีในดวงชาตา

หน้าแรกโหราศาสตร์ประวัติศาสตร์: HistAstro.blogspot.com

ผมคิดว่าคุณผู้อ่านทุกท่านคงเคยเห็นรูปดวงชาตาจากสื่อต่างๆ มาไม่น้อย ในบล็อกนี้ก็มีอยู่ทุกโพสต์ หรือท่านอาจเคยไปพบและดูดวงชาตากับอาจารย์โหรหรือหมอดูมาไม่มากก็น้อย หรืออาจเคยนำวันเดือนปีเวลาตกฟากของลูกหลานไปหาอาจารย์โหรเพื่อผูกดวง ให้ท่านพยากรณ์ว่าจะสอบได้ไหม จะได้งานเมื่อไหร่ หรือแม้กระทั่งจะมีเกณฑ์พบคู่หรือยัง และอาจจะมีรูปดวงชาตาที่อาจารย์โหรผูกดวงชาตาไว้อยู่กับตัวก็ได้ วันนี้เรามาดูว่าในดวงชาตานั้น ตำราโหราศาสตร์ท่านแบ่งราศีกันไว้อย่างไร 

โพสต์นี้จะพูดเฉพาะเรื่องราศีอย่างเดียวเท่านั้นครับ เพื่อให้ท่านที่ไม่มีความรู้เรื่องดวงชาตาได้เข้าใจ และจะเป็นประโยชน์เวลาที่ฟังคำพยากรณ์ทางสื่อออนไลน์ต่างๆ จากโหราจารย์ทั้งหลาย ท่านจะได้นึกภาพออกว่าดาวอะไรจรอยู่ตรงไหน อย่างวันนี้วันที่ 20 ธันวาคม 2563 ดาวราหูจรอยู่ที่ราศีพฤษภ ดาวมฤตยูทับลัคนาดวงเมืองที่ราศีเมษ ดาวเสาร์จรร่วมกับดาวพฤหัสในราศีมังกร เป็นต้น 

จากภาพด้านบนจะเห็นวงกลมที่แบ่งออกเป็น 12 ส่วน คือ 12 ราศี มีราศีเมษอยู่ด้านบนสุดเป็นราศีแรก แล้วนับวนไปทางซ้ายคือราศีพฤษภ ไปตามลำดับชื่อเดือน 12 เดือน ซึ่งบางชื่ออาจต่างจากชื่อเต็มของเดือนที่เราคุ้นแต่สังเกตว่าสำเนียงยังคล้ายๆ กับชื่อเดือนอยู่บ้าง นั่นเป็นเรื่องความแตกต่างของภาษา นับไปจนถึงราศีสุดท้ายคือ ราศีมีน

หลังจากท่านเห็นภาพนี้ ผมหวังว่าท่านผู้อ่านคงจะเข้าใจเรื่องราศีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะนำไปสู่ความเข้าใจเรื่องดวงชาตาต่อไป ในที่สุดท่านอาจสนใจถึงขั้นไปเรียนรู้อย่างจริงจังเพื่อเป็นนักพยากรณ์ต่อไปก็ได้ หรือแม้ว่าจะไม่ต้องการรู้ขนาดนั้น ท่านก็เข้าใจและเห็นภาพเมื่อฟังโหรานุโหรทั้งหลายพยากรณ์ความเป็นไปของอนาคตประเทศไทยและดวงชาตาของคนราศีต่างๆ ประจำเดือนหรือประจำปี

ว่าแต่ท่านมีลัคนาอยู่ในราศีไหนครับ

หน้าแรกโหราศาสตร์ประวัติศาสตร์: HistAstro.blogspot.com

ฤทธิ์พยากรณ์@โหราศาสตร์ประวัติศาสตร์

20 ธันวาคม 2563

พระบรมราชชาตาสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1

พระบรมราชชาตาสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1

King Buddha Yodfa Chulaloke (Rama I) of Siam;
Image Credit: Wikimedia Commons.


พระบรมราชชาตา รัชกาลที่ 1 ตามบันทึกเก่า


หน้าแรกโหราศาสตร์ประวัติศาสตร์: HistAstro.blogspot.com

รัชกาลที่ 1 ทรงมีพระราชสมภพเมื่อวันพุธ แรม 5 ค่ำ เดือน 4 ปีมะโรง เวลา 03.00 น. ตรงกับวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2280 พระนามเดิม "ทองด้วง" ทรงเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเมื่อปีขาล พ.ศ. 2325 


พระบรมราชชาตา รัชกาลที่ 1 ตามแบบสิบลัคนา

ในบันทึกเก่าได้วางพระราชลัคนาไว้ที่ราศีมังกร แต่ในเวลาที่เสด็จขึ้นครองราชนั้นดาวพฤหัสบดีโคจรเป็นวินาศแก่พระราชลัคนาราศีมังกร ไม่สอดคล้องกับหลักวิชาโหราศาสตร์ เมื่อได้ตรวจสอบตามหลักวิชาโหราศาสตร์ไทยสิบลัคนาแล้วผู้เขียนเห็นว่าพระราชลัคนาควรสถิตย์อยู่ราศีธนู เป็นราศีเดชตามหลักทักษา เป็นราศีของนักปกครอง และเมื่อท่านผู้มีความรู้ทางโหราศาสตร์ได้พิจารณาพระบรมราชชาตาในระบบสิบลัคนาแล้วจะเห็นว่าดาวเดชกุมพระราชลัคนา ควรที่จะเป็นพระราชลัคนาที่ถูกต้องตามพระราชประวัติ

สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

หน้าแรกโหราศาสตร์ประวัติศาสตร์: HistAstro.blogspot.com

ฤทธิ์พยากรณ์@โหราศาสตร์ประวัติศาสตร์

20 ธันวาคม 2563

19 ธันวาคม 2563

เขาวางเสาหลักเมืองกรุงรัตนโกสินทร์กันอย่างไร

เขาวางเสาหลักเมืองกรุงรัตนโกสินทร์กันอย่างไร

ดวงเมืองกรุงรัตนโกสินทร์ 21 เมษายน 2325 เวลา 06.54 น.

กรุงรัตนโกสินทร์ หรือปัจจุบันคือ กรุงเทพมหานคร ได้รับการสถาปนาขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 เวลา 06.54 น. ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 6 ปีขาล จัตวาศก ในเอกสารเก่าบอกเวลาไว้ว่า “รุ่งแล้ว 9 บาท” (เป็นหน่วยเวลาสมัยนั้น 1 บาท เท่ากับ 6 นาที ยุคปัจจุบันเลยเทียบเวลาไว้ที่ 06.54 น. ซึ่งเป็นนาทีสุดท้ายของบาทที่ 9 และโปรดทราบว่าเป็นเวลากรุงเทพมหานครในสมัยนั้น ไม่ใช่เวลาประเทศไทยมาตรฐานอย่างในปัจจุบัน) ตามที่ระบุในหนังสือโหราศาสตร์ในวรรณคดี ได้กล่าวไว้ว่ามีการประกอบพิธีฝังเสาหลักเมืองตามตำราที่เรียกว่า ตำราพระราชพิธีนครถาน ซึ่งเป็นตำราว่าด้วยการฝังหลักพระนคร (เสาหลักเมือง) โดยเฉพาะ
เสาหลักเมืองเดิมที่สร้างสมัยรัชการที่ 1 คือเสาต้นสูง
ส่วนต้นที่ต่ำกว่าสร้างใหม่ในรัชกาลที่ 4



ไม้ที่ใช้ทำเสาหลักเมืองคือไม้ไชยพฤกษ์ (ไม้ยืนต้นในวงศ์ถั่ว ดอกสีชมพูเข้ม ชื่อวิทยาศาสตร์: Cassia javanica) เสาหลักเมืองนี้มีความยาว 187 นิ้ว ฝังลงไปใต้ดิน 79 นิ้ว โผล่พ้นดิน 108 นิ้ว (เลข 108 นิ้ว ว่ากันว่าคือจำนวนนวางค์ใน 12 ราศี โดยแบ่งพื้นที่ใน 12 ราศีออกเป็นราศีละ 9 นวางค์ รวมทั้งสิ้น (12x9) เท่ากับ 108 นวางค์พอดี พิธีกรรมนี้ใช้เวลาทั้งสิ้น 4 วัน สามวันแรกเป็นการเตรียมการ วันสุดท้ายเป็นการนำเสาหลักเมืองลงหลุม มีการนิมนต์พระสงฆ์มาสวดพระปริตรทั้ง 3 วัน โดยมีพระคู่สวด 20 รูป พระราชาคณะนั่งปรก 15 รูป รวมทั้งสิ้น 35 รูป นอกจากนี้ยังมีพิธีตั้งศาลและบูชาเทวดาของบรรดาโหรพราหมณ์ทั้งหลายตลอดสามวัน ในวันที่สี่หลังจากบูชาเทวดาแล้วได้ทำการเชิญหลักเมืองและแผ่นศิลาลงยันต์ ก้อนดิน 4 ก้อนที่เป็นตัวแทนธาตุทั้งสี่ บาตรน้ำ บาตรทราย ไปไว้ใกล้หลุม พอได้เวลาฤกษ์แล้วให้โหรสี่คนยืนประจำทิศทั้งสี่ของหลุมหันหน้าออกไปในแต่ละทิศ แล้วกล่าวประกาศก้อนดินประจำธาตุทั้งสี่และสรรพคุณทั้งหลาย เสร็จแล้วโหรทั้งสี่จึงทิ้งก้อนดินลงหลุมตามลำดับ แล้วนำแผ่นศิลาจารึกยันต์โสฬสมงคลวางบนก้อนดินทั้งสี่ก้อน แล้วเชิญเสาหลักเมืองลงหลุม ตั้งบนแผ่นศิลานั้น แล้วกลบกระทุ้งดินให้แน่น (โดยไม่ใช้เท้า) แล้วประโคมดนตรี แตร สังข์ ฆ้องชัย ยิงปืนใหญ่สี่ทิศ พรมน้ำ โปรยทราย เอาผ้าแพรสีชมพูผูกเสาหลักเมือง จากนั้นปิดผ้ายันต์ที่ปลายเสาและต้นเสาบนดิน เจิมแป้งหอม น้ำมันหอม พวงมาลัยดอกไม้ เชิญเทพยดาให้มาสถิตย์ในเสาหลักเมืองต่อไป

ต้นไชยพฤกษ์ (Cassia javanica) ต้นไม้ที่ใช้ทำเสาหลักเมืองกรุงรัตนโกสินทร์

ฤทธิ์พยากรณ์@โหราศาสตร์ประวัติศาสตร์

HistAstro.blogspot.com

19 ธันวาคม 2563


ทักทายกันก่อน

ทักทายกันก่อน

หน้าแรกโหราศาสตร์ประวัติศาสตร์: HistAstro.blogspot.com

สวัสดีครับคุณผู้อ่านทุกท่าน บล็อกนี้ทำขึ้นเพื่อเล่าเรื่องราวของบุคคลและเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์โลกและประวัติศาสตร์ไทยในเชิงโหราศาสตร์ หรือจะบอกว่าเป็นโหราศาสตร์ในเชิงประวัติศาสตร์ก็ได้ครับ โดยจะนำเหตุการณ์หรือบุคคลสำคัญทั้งในอดีตและปัจจุบันมาถ่ายทอดในรูปแบบโหราศาสตร์ไทยที่มีภาพดวงราศีจักรประกอบและแทรกเรื่องราวประวัติของเหตุการณ์หรือบุคคลนั้นๆ และความที่ผู้เขียนได้เรียนวิชาโหราศาสตร์ไทยสิบลัคนามาก่อน บางดวงชาตาจะมีภาพดวงชาตาสิบลัคนาประกอบด้วย 

ผมหวังว่าบล็อกที่จัดทำขึ้นนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทุกคนที่สนใจวิชาโหราศาสตร์และประวัติศาสตร์ และเป็นอีกแหล่งข้อมูลที่เก็บบันทึกเรื่องราวเหตุการณ์และประวัติบุคคลในอดีตและปัจจุบันเพื่อนำมาเชื่อมโยงกับวิชาโหราศาสตร์ที่ท่านศึกษาอยู่ เพื่อร่วมกันหาคำตอบว่าวิชาโหราศาสตร์มีความแม่นยำถูกต้องมากน้อยแค่ไหนเมื่อนำมาเทียบกับข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ของเหตุการณ์หรือบุคคลที่ท่านกำลังวิเคราะห์ดวงชาตา

หลังจากให้บริการมาระยะนึง ผู้เขียนเห็นว่าหากเปิดรับการพยากรณ์ฟรีแก่คนทั่วไปน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนในยุคนิวนอร์มอลซึ่งไม่สามารถไปมาหาสู่กันได้อย่างปกติในระยะนี้ จึงได้เปิดหน้าพยากรณ์ขึ้น และถือว่าดวงชาตาของผู้ที่มารับการพยากรณ์จะเป็นดวงครูให้กับนักศึกษาโหราศาสตร์ในรุ่นหลังต่อไป



สวัสดีปีใหม่ พ.ศ. 2564 ครับ

หน้าแรกโหราศาสตร์ประวัติศาสตร์: HistAstro.blogspot.com

ฤทธิ์พยากรณ์@โหราศาสตร์ประวัติศาสตร์

19 ธันวาคม 2563

HistAstro.blogspot.com

ดวงคนดัง แจ็คแฟนฉัน ว่าที่เจ้าสัวคนใหม่

ดวงคนดัง แจ็คแฟนฉัน ว่าที่เจ้าสัวคนใหม่ HistAstro.blogspot.com Image Credit: มิวสิควิดีโอ 'เกิดมาเพื่ออกหัก' เพลงรักเพลงแรกในชีวิตขอ...